
เข้าใจ “Hydrostatic Test” ภายใต้ข้อกำหนด PED (Pressure Equipment Directive)
ในการผลิตอุปกรณ์แรงดัน เช่น ถังรับแรงดัน หม้อไอน้ำ หรือเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน การทดสอบแรงดันไฮโดรสแตติก (Hydrostatic Test) ถือเป็นกระบวนการสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ หากคุณต้องการส่งออกอุปกรณ์แรงดันไปยังกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (EU) คุณจำเป็นต้องเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกำหนดของ Pressure Equipment Directive (PED) 2014/68/EU อย่างเคร่งครัด
วันนี้ TIV ขอพาเจาะลึกแบบเข้าใจง่าย: “ทำไมต้องทดสอบไฮโดรสแตติก?” “ต้องทดสอบที่แรงดันเท่าไหร่?” และ “ถ้าไม่สามารถทดสอบด้วยน้ำได้ มีทางเลือกอื่นไหม?”
🔎 Hydrostatic Test คืออะไร?
Hydrostatic Test คือการเติมน้ำเข้าไปในอุปกรณ์แรงดันจนเต็ม แล้วเพิ่มแรงดันภายในขึ้นไปสูงกว่าค่าการใช้งานปกติ เพื่อตรวจสอบว่าอุปกรณ์มีความแข็งแรงพอ ไม่มีการรั่วไหล การเสียรูป หรือความเสียหายใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในการใช้งานจริง
การทดสอบนี้ใช้หลักการง่าย ๆ คือ น้ำมีการอัดตัวน้อยมาก เมื่อเกิดการแตกหักหรือรั่วไหล จะเห็นได้ชัดเจนทันที โดยไม่เกิดการระเบิดรุนแรงเหมือนการทดสอบด้วยก๊าซ
📜 ข้อกำหนด PED ว่าด้วย Hydrostatic Test (อ้างอิงจาก Annex I, ข้อ 3.2.2 และ 7.4)
– ภายใต้ ข้อ 3.2.2 – Proof Test
PED กำหนดว่าอุปกรณ์แรงดันทุกชิ้น ต้องผ่านการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความสามารถในการทนแรงดัน ก่อนออกจากโรงงาน ซึ่งรูปแบบที่นิยมที่สุดคือ Hydrostatic Test
หากไม่สามารถใช้น้ำในการทำ Hydrostatic Test (เช่น เสี่ยงทำให้อุปกรณ์ด้านในชิ้นงานเสียหาย) ก็อนุญาตให้ใช้วิธีการอัดลมหรือก็าซแทนได้ แต่ต้องมีมาตรการควบคุมเพิ่มเติม เช่นการทดสอบด้วย Non-Destructive Testing (NDT) ก่อนทำสอบแรงดัน
– ข้อ 7.4 – Hydrostatic Test Pressure
PED ระบุชัดเจนว่า แรงดันทดสอบไฮโดรสแตติกต้องไม่น้อยกว่าค่าใดค่าหนึ่งต่อไปนี้ (เลือกค่าสูงกว่า):
1.25 เท่า ของแรงดันสูงสุดที่อุปกรณ์จะเผชิญได้จริงระหว่างการใช้งานที่อุณหภูมิสูงสุด
1.43 เท่า ของแรงดันใช้งานสูงสุด (PS)
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น
ถ้าอุปกรณ์มี PS = 10 bar, ต้องทดสอบที่ อย่างน้อย 14.3 bar
หรือ ถ้ามีแรงดันโหลดสูงสุดจากการใช้งานจริงและอุณหภูมิสูงสุด เช่น 11 bar ต้องคำนวณ 1.25 × 11 = 13.75 bar
จากนั้นเลือกค่าที่สูงกว่า คือ 14.3 bar ทดสอบที่ค่านี้เป็นต้น
🛠 หากไม่สามารถทำ Hydrostatic Test ได้?
ในบางกรณี เช่น
– อุปกรณ์มีความเปราะสูง (Fragile equipment)
– ขนาดใหญ่มากจนไม่สามารถกรอกน้ำได้
– ความเสี่ยงจากการกักเก็บน้ำที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน
PED อนุญาตให้เปลี่ยนมาใช้ การทดสอบแรงดันด้วยก๊าซ (Pneumatic Test) ได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูงมาก และมีมาตรการควบคุมความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น
– จำกัดพื้นที่ทดสอบ (Exclusion Zone)
– ใช้อุปกรณ์นิรภัย เช่น แผงกันระเบิด (Blast Shields)
– หรือบางกรณีอาจเลือกใช้ การตรวจสอบด้วยวิธี NDT แบบ 100% เช่น การตรวจสอบด้วย Ultrasonic Testing (UT) หรือ Radiographic Testing (RT) ก่อนการทดสอบแรงดัน
🧠 ทำไม Hydrostatic Test ตาม PED จึงมีความสำคัญ?
✅ เป็นหลักฐานว่าผลิตภัณฑ์สามารถรับแรงดันได้อย่างปลอดภัย
✅ เป็นข้อกำหนดบังคับก่อนออกเครื่องหมาย CE (สำหรับขายในยุโรป)
✅ ป้องกันความเสี่ยงจากอุบัติเหตุแรงดันระเบิด
✅ เป็นพื้นฐานในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
หากไม่ปฏิบัติตาม ข้อมูลการรับรองจะไม่ครบถ้วน ส่งผลให้ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าในตลาดยุโรปได้
📈 ข้อควรระวังเพิ่มเติมในการทำ Hydrostatic Test
– ต้องระบุและควบคุมอุณหภูมิของน้ำที่ใช้
– ต้องระบุตำแหน่งของจุดวัดแรงดันอย่างแม่นยำ
– ต้องทดสอบช้า ๆ ไม่เร่งแรงดันเร็วเกินไป
– ต้องตรวจสอบการบันทึกค่าทดสอบอย่างละเอียด (Test Report)
✨ สรุป: TIV ช่วยคุณได้อย่างไร?
ที่ TIV เราเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษา อบรม และสนับสนุนการปฏิบัติตามข้อกำหนด PED / CE Marking อย่างครบวงจร เรามีทีมวิศวกรที่เข้าใจความต้องการในงานอุตสาหกรรมไทย และพร้อมช่วยให้คุณผ่านการตรวจประเมินได้อย่างราบรื่น
🚀 หากคุณกำลังวางแผนส่งออกถังรับแรงดันหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ไปยุโรป อย่าลืมวางแผนเรื่องการทดสอบแรงดันให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น!
📞 สนใจบริการด้าน PED / CE Marking ?
ติดต่อทีมงาน TIV ได้ที่
🌐 www.tiv.co.th
📧 info@tiv.co.th
📞 02-002-0225
#PressureEquipmentDirective #PED #HydrostaticTest #CEการันตีมาตรฐาน #TIVInspection #ตรวจสอบแรงดัน #ส่งออกยุโรปอย่างมั่นใจ #ตรวจสอบอุปกรณ์แรงดัน #มาตรฐานยุโรป